30 จำนวนผู้เข้าชม |
ผู้เขียน : พุทธพจน์ นนตรี (ทนายความ)
เขียนเมื่อ : 6 พฤศจิกายน 2568
สัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาชนิดหนึ่งที่พบกันได้ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะสัญญาเช่าซื้อทรัพย์สินประเภทรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์
สัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาที่ผู้เช่าซื้อมีสิทธิบอกเลิกได้ทุกเมื่อโดยไม่ต้องอ้างเหตุผลและไม่ต้องคำนึงว่าตนเป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่ ผู้เช่าซื้อเพียงแค่บอกกล่าวแก่ผู้ให้เช่าซื้อว่าขอเลิกสัญญาและนำทรัพย์สินที่เช่าซื้อไปส่งมอบคืนให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อ สัญญาเช่าซื้อก็เป็นอันเลิกกันแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 573
อย่างไรก็ตาม แม้ผู้เช่าซื้อจะเลิกสัญญาตามมาตรา 573 ได้โดยไม่ต้องมีเหตุอันสมควร แต่ผู้เช่าซื้อก็อาจต้องรับผิดบางอย่างต่อผู้ให้เช่าซื้อหากทำความเสียหายให้แก่ทรัพย์สินที่เช่าซื้อ
วันนี้ สำนักงานของเราได้เรียบเรียงแนวคำพิพากษาศาลฎีกาจนถึงปัจจุบันมาให้ศึกษากันครับ
1. ผลของการเลิกสัญญาตามมาตรา 573 ตามแนวฎีกา
ศาลฎีกาตีความว่า เมื่อผู้เช่าซื้อเลิกสัญญาเช่าซื้อตามหลักเกณฑ์ในมาตรา 573 แล้ว สัญญาเช่าซื้อย่อมเป็นอันเลิกกันนับแต่วันที่ทรัพย์สินที่เช่าซื้อกลับคืนสู่การครอบครองยึดถือของผู้ให้เช่าซื้อ เมื่อมาตรา 573 ไม่ได้กำหนดผลของการเลิกสัญญาเอาไว้เป็นการเฉพาะ จึงต้องนำบทบัญญัติในมาตรา 391 ซึ่งเป็นบททั่วไปมาใช้แทน (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1703/2536)
เมื่อมาตรา 391 บัญญัติให้คู่สัญญากลับคืนสู่สถานะเดิมหลังสัญญาเลิก ทั้งสองฝ่ายจึงต้องคืนสิ่งที่ได้รับมอบไว้ให้แก่อีกฝ่ายตามมาตรา 391 วรรคหนึ่ง แต่เนื่องจากสัญญาเช่าซื้อเป็นเรื่องการยอมให้ใช้ทรัพย์ ผู้เช่าซื้อที่ใช้ทรัพย์ระหว่างที่สัญญายังไม่เลิกจึงต้องใช้เงินค่าใช้ทรัพย์ตามควรแก่ผู้ให้เช่าซื้อด้วยตามมาตรา 391 วรรคสาม (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 73/2522) ค่าเช่าซื้อที่ได้รับมอบไว้แล้วจึงถือเป็นค่าใช้ทรัพย์และผู้ให้เช่าซื้อไม่ต้องคืน หากชำระค่าเช่าซื้อมาล่วงหน้าตอนทำสัญญาแล้ว ก็สามารถเอาค่าเช่าซื้อที่ชำระไว้แล้วไปหักออกจากเงินค่าเช่าซื้อที่จ่ายไว้ล่วงหน้านี้ได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 73/2522)
นอกจากนี้ หากผู้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาด้วยการเอารถหรือทรัพย์สินที่เช่าซื้อมาส่งมอบคืนให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อโดยที่ผู้เช่าซื้อชำระค่าเช่าซื้องวดก่อนหน้าครบถ้วนแล้วและไม่ได้ผิดสัญญาข้อใด ผู้เช่าซื้อก็ไม่ต้องรับผิดต่อผู้ให้เช่าซื้อ เช่น ไม่ต้องจ่ายค่าขาดราคาหรือค่าขาดประโยชน์ เป็นต้น (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3238/2552 และ 2538/2562)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1703/2536 เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันตามมาตรา 573 คู่สัญญาแต่ละฝ่ายต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตามมาตรา 391 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 73/2522 ได้ความว่าโจทก์ครอบครองและใช้ได้รับประโยชน์จากรถยนต์พิพาทตั้งแต่วันทำสัญญาเช่าซื้อตลอดมาจนถึงเดือนกันยายน 2517 ที่ถูกตำรวจยึดรถยนต์ไป แต่โจทก์ได้ชำระเงินค่าเช่าซื้อให้จำเลยถึงงวดประจำเดือนกรกฎาคม 2517 เงิน 3,438 บาท และประจำเดือนสิงหาคม 2517 บางส่วนเงิน 2,562 บาทรวมเป็นเงิน 6,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ.6 เท่านั้น โจทก์คงค้างชำระเงินค่าเช่าซื้อประจำเดือนสิงหาคม 2517 บางส่วนเงิน 876 บาท และประจำเดือนกันยายน 2517 อันเป็นเดือนสุดท้ายที่โจทก์ได้ใช้รถยนต์พิพาทเป็นเงิน 3,438 บาท รวมเป็นเงิน 4,314 บาท โจทก์ควรชำระเงินดังกล่าวให้จำเลยเป็นการตอบแทนที่ได้รับประโยชน์จากการใช้รถยนต์พิพาท ฉะนั้นจึงให้หักเงินจำนวนดังกล่าวออกจากยอดเงิน 40,000 บาท คงเหลือเงิน 35,686 บาท ที่จะต้องคืนให้โจทก์
2. ค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระก่อนเลิกสัญญา
ตามแนวคำพิพากษาของศาลฎีกา ผู้ให้เช่าซื้อไม่มีสิทธิเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระก่อนเลิกสัญญาได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1703/2536) เว้นแต่จะมีสัญญาตกลงกันไว้อย่างชัดเจนว่า เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว ให้ผู้เช่าซื้อชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างอยู่ทั้งหมดก่อนเลิกสัญญาให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อ (เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 511/2512, 1933/2518, 4127/2532, 2303/2534, 5022/2540, 1780/2542) ข้อตกลงเช่นนี้บังคับกันได้ (เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1496/2548) แต่ศาลถือว่าข้อตกลงเช่นนี้เป็นการกำหนดค่าเสียหายกันไว้ล่วงหน้า จึงเป็นเบี้ยปรับ หากสูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจปรับลดได้ (เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162/2546, 356/2548 และ 15107/2558) แต่แม้จะไม่เสียค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระเพราะไม่ได้กำหนดไว้ในสัญญาล่วงหน้า ก็อาจต้องเสียค่าเสียหายอย่างอื่นให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อ เช่น ค่าขาดราคา (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4836/2567) ค่าขาดประโยชน์ หรือค่าเสียหายจากการทำให้ทรัพย์สินที่เช่าซื้อเสียหายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1703/2536 เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันตามมาตรา 573 คู่สัญญาแต่ละฝ่ายต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ตาม มาตรา 391 วรรคหนึ่ง แม้จำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อค้างชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์รวม 3 งวด ก่อนสัญญาเช่าซื้อเลิกกันดังกล่าว โจทก์ก็ไม่มีสิทธิเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระก่อนสัญญาเลิกนั้นได้
3. ค่าเช่าซื้องวดหลังจากเลิกสัญญา
ตามแนวคำพิพากษาของศาลฎีกา หลังจากผู้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาตามมาตรา 573 แล้ว คู่สัญญาย่อมไม่มีสิทธิและหน้าที่ต่อกันอีกต่อไป ผู้ให้เช่าซื้อจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินค่าเช่าซื้องวดที่เหลือหลังจากเลิกสัญญาได้และผู้เช่าซื้อไม่มีหน้าที่ต้องชำระเงินดังกล่าวแก่ผู้ให้เช่าซื้อ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 859/2524)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 859/2524 สัญญาเช่าซื้อมีว่า ในกรณีที่สัญญานี้ต้องสิ้นสุดลงผู้เช่าซื้อจะต้องชำระเงินค่าเช่าซื้อที่ค้างอยู่ทั้งหมดให้ผู้ให้เช่าซื้อจนครบ คำว่าค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระคือค่าเช่าซื้อซึ่งถึงกำหนดชำระแล้วก่อนวันที่สัญญาเช่าซื้อนั้นต้องสิ้นสุดลงและผู้เช่าซื้อยังไม่ได้ชำระเท่านั้นหาหมายถึงค่าเช่าซื้อทั้งหมดทุกงวด รวมทั้งค่าเช่าซื้องวดที่ล่วงเลยกำหนดชำระแล้วแต่ผู้เช่าซื้อยังมิได้ชำระและค่าเช่าซื้อที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระไม่ เพราะเมื่อสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดลงแล้วผู้เช่าซื้อก็ไม่มีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าซื้อสำหรับงวดต่อไปอีก
4. ดอกเบี้ย
ตามแนวคำพิพากษาของศาลฎีกา ดอกเบี้ยตามสัญญาเช่าซื้อไม่ใช่ดอกเบี้ยตามสัญญากู้ ผู้ให้เช่าซื้อจึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปีได้ (เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 957/2544) ไม่เป็นการขัดต่อ พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา (เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1961/2545)และหากสูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจปรับลดได้เพราะถือเป็นเบี้ยปรับ (เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 990/2532) แต่ศาลไม่มีอำนาจที่จะงดเบี้ยปรับทั้งหมดได้ (เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162/2546)
อย่างไรก็ตาม ถ้าสัญญากำหนดไว้ว่า “หากผู้เช่าซื้อผิดนัดค่างวดไม่ว่างวดใด ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดได้ร้อยละ 15 ต่อปีนับจากวันผิดนัด” หากต่อมาเลิกสัญญาเช่าซื้อกันแล้ว สิทธิที่จะคิดดอกเบี้ยร้อยละ 15 ตามสัญญาย่อมสิ้นสุดลง ผู้ให้เช่าซื้อต้องคิดดอกเบี้ยผิดนัดตามอัตราที่กฎหมายกำหนด คือ ร้อยละ 7.5 ต่อปี (ตามกฎหมายเดิม) หรือร้อยละ 5 ต่อปี (ตามกฎหมายใหม่) จากยอดเงินที่ค้างชำระ (เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1713/2546)
นอกจากนี้ ในเรื่องดอกเบี้ย ผู้ให้เช่าซื้อยังต้องดู "ประกาศคณะกรรมการควบคุมสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2565" ซึ่งกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ผู้ประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อรถมีสิทธิคิดได้อีกด้วย
5. ค่าเสียหายจากการใช้ทรัพย์สินอย่างไม่ระมัดระวัง
ในระหว่างที่เช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อมีหน้าที่ต้องดูแลรักษาทรัพย์สินที่เช่าซื้อเช่นวิญญูชนพึงรักษาทรัพย์สินของตนเองตามมาตรา 553 ประกอบมาตรา 572 หากทรัพย์สินที่เช่าซื้อสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ เพราะความผิดของผู้เช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดตามมาตรา 562 ประกอบมาตรา 572
เมื่อผู้เช่าซื้อเลิกสัญญาด้วยการส่งมอบรถหรือทรัพย์สินที่เช่าซื้อคืนแก่ผู้ให้เช่าซื้อ และรถหรือทรัพย์สินที่ผู้เช่าซื้อเอามาคืนเสียหายเพราะความผิดของผู้เช่าซื้อเอง ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากผู้เช่าซื้อได้
แต่หากความเสียหายนั้นเกิดจากการเสื่อมสภาพจากการใช้งานตามปกติ ผู้เช่าซื้อก็ไม่ต้องรับผิด และผู้ให้เช่าซื้อไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหาย เช่น ค่าซ่อมแซมรถ เป็นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1079/2545 ในทางพิจารณาไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ใช้รถยนต์คันที่เช่าซื้อโดยประมาทเลินเล่ออย่างไร และรถได้เสื่อมราคาลงไปเนื่องจากเกิดความเสียหาย เพราะจำเลยที่ 1 ใช้รถโดยประมาทเลินเล่อหรือไม่ แต่กลับได้ความว่าจำเลยที่ 1 ได้ใช้ความระมัดระวังในการดูแลรักษารถดังกล่าวตามสมควรแล้วโดยนำไปตรวจเช็คและซ่อมแซมที่ศูนย์รถยนต์ของโจทก์เป็นประจำตลอดมา ดังนั้น เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันโดยถือมิได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยที่ 1 ก็ไม่ต้องรับผิดเกี่ยวกับการเสื่อมราคาตามสภาพของการใช้รถตามปกติ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 985/2532 ในกรณีที่มีการเลิกสัญญาเช่าซื้อเพราะผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อนั้น ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิเข้าครอบครองรถยนต์คันที่เช่าซื้อ ริบเงินค่าเช่าซื้อที่ส่งแล้วและมีสิทธิเรียกค่าใช้ทรัพย์ตลอดเวลาที่ผู้เช่าซื้อครอบครองทรัพย์อยู่ภายหลังจากการเลิกสัญญาตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคสามและถ้าทรัพย์สินที่คืนมาเสียหาย ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดนอกเหนือไปจากความเสียหายอันเกิดจากการใช้ทรัพย์โดยชอบ และต้องรับผิดสำหรับค่าใช้จ่ายในการติดตามเอารถยนต์ที่เช่าซื้อคืนมาให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อด้วย
6. ค่าขาดราคา
ค่าขาดราคา หมายถึง ค่าเสียหายที่กำหนดไว้ล่วงหน้าในสัญญาว่า หากเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้วผู้ให้เช่าซื้อนำรถหรือทรัพย์สินที่เช่าซื้อออกขายต่อแล้วได้ราคาต่ำกว่าค่าเช่าซื้อที่ตั้งไว้ในสัญญา ผู้เช่าซื้อยินยอมชดใช้ส่วนต่างเป็นค่าขาดราคาให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อ
ข้อตกลงดังกล่าวเป็นข้อตกลงที่บังคับกันได้ตามกฎหมาย แต่ต้องพิจารณา พ.ร.บ. ว่าด้วยข้อสัญญาไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 และประกาศคณะกรรมการควบคุมสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2565 ประกอบด้วย
เรื่องเรียกค่าขาดราคานี้ โดยหลักแล้วคู่สัญญาต้องกำหนดไว้ในสัญญา หากไม่กำหนดไว้ในสัญญาและเลิกสัญญากันในภายหลัง ผู้ให้เช่าซื้อไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดราคาให้เท่ากับค่าเช่าซื้อที่ยังขาดตามสัญญาได้เพราะจะมีผลเป็นการบังคับตามสัญญาเช่าซื้อที่เลิกกันไปแล้ว (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5363/2545) อย่างไรก็ตาม แม้ไม่ได้กำหนดไว้ในสัญญา ผู้ให้เช่าซื้อก็มีสิทธิเรียกค่าขาดราคาได้ในฐานะค่าเสียหายที่แท้จริงโดยเรียกค่าขาดราคาได้เท่าราคาต้นทุนที่แท้จริงของรถยนต์เท่านั้น (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5363/2545) นอกจากนี้ หากสูงเกินส่วน ศาลปรับลดได้ในฐานะเป็นเบี้ยปรับ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5826/2543 และ 4836/2567)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5363/2545 เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกัน คู่สัญญาแต่ละฝ่ายต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคแรก โจทก์จึงไม่อาจบังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าขาดราคารถยนต์เท่ากับค่าเช่าซื้อที่ยังขาดได้เพราะจะมีผลเท่ากับบังคับให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อที่เลิกกันไปแล้ว หากโจทก์ยังได้รับความเสียหายในส่วนราคารถยนต์ที่ขาด โจทก์สามารถเรียกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคท้าย แต่ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกได้นี้คือค่าขาดราคาไปจากราคารถยนต์ที่แท้จริง ไม่ใช่ค่าขาดราคาไปจากราคาตามสัญญาเช่าซื้อ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4836/2567 จำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญา โดยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดแรกเป็นต้นมา จากนั้นวันที่ 28 เมษายน 2562 จำเลยที่ 1 ก็ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้แก่โจทก์โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีข้อพิพาทโต้แย้งในส่วนที่เกี่ยวกับรถยนต์ที่เช่าซื้อกันแต่อย่างใด … โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าขาดราคาตามข้อกำหนดและเงื่อนไขการเช่าซื้อรถยนต์ ข้อ 11 ที่กำหนดไว้ใจความว่า เมื่อสัญญานี้สิ้นสุดลงไม่ว่ากรณีใด ๆ หากโจทก์นำรถยนต์ที่เช่าซื้อออกขายโดยวิธีการประมูลหรือวิธีการขายทอดตลาดที่เหมาะสม หากได้ราคาน้อยกว่ามูลหนี้ส่วนที่ขาดอยู่ตามสัญญา จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดส่วนที่ขาด ซึ่งในเรื่องนี้โจทก์ฟ้องและนำสืบว่าโจทก์นำรถยนต์ที่เช่าซื้อออกขายทอดตลาดได้ราคาน้อยกว่าจำนวนหนี้คงค้างตามสัญญาเช่าซื้อ จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระค่าขาดราคาแก่โจทก์ แต่ข้อตกลงที่กำหนดให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดในส่วนที่ขาดนี้เป็นการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้า มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 หากสูงเกินส่วนศาลย่อมมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2658/2545 เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเช่าซื้อส่วนที่ขาดจากการประมูลขายรถยนต์ที่เช่าซื้อจำนวน 352,350 บาท ซึ่งตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.7 ข้อ 11 ค. กำหนดว่า "ผู้เช่าซื้อผิดสัญญาอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี... ในกรณีดังกล่าวผู้เช่าซื้อยอมให้เจ้าของริบบรรดาเงินค่าเช่าซื้อที่ได้ชำระแล้ว ทั้งหมดเป็นของเจ้าของโดยผู้เช่าซื้อไม่มีสิทธิเรียกร้องคืน และผู้เช่าซื้อยอมส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อคืนแก่เจ้าของโดยพลันในสภาพที่ซ่อมแซมดีแล้วโดยค่าใช้จ่ายของผู้เช่าซื้อเอง ถ้าไม่ส่งคืนก็ให้ถือว่าครอบครองโดยไม่ชอบ... และผู้เช่าซื้อยอมชำระค่าเช่าซื้อที่ติดค้าง หรือใช้ค่าเสียหายที่เจ้าของต้องขาดประโยชน์ที่ควรจะได้จากการเอาทรัพย์สินนั้นให้เช่า... ถ้าเจ้าของได้ขายทรัพย์สินที่เช่าซื้อไปแล้วยังไม่คุ้มราคาค่าเช่าซื้อที่ต้องชำระทั้งหมดตามสัญญานี้กับค่าเสียหายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น ผู้เช่าซื้อจะชดใช้ให้เจ้าของจนครบถ้วน" ข้อสัญญาดังกล่าวนี้ใช้บังคับได้ โดยมีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับในกรณีที่โจทก์เรียกร้องราคารถยนต์ที่เช่าซื้อที่ยังขาดอยู่ตามสัญญา สำหรับเบี้ยปรับนั้นหากกำหนดไว้สูงเกินส่วน ศาลอาจลดลงเป็นจำนวนที่พอสมควรได้ เนื่องจากราคารถยนต์ที่เช่าซื้อเป็นการคิดราคาที่ต้องโอนกรรมสิทธิ์เมื่อผู้เช่าซื้อชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนรวมกับค่าเช่าแต่ละเดือนด้วย และการใช้รถยนต์จะต้องมีการเสื่อมราคาตามอายุการใช้งาน ทั้งคดีรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ประมูลขายรถยนต์ดังกล่าวไปในราคาต่ำกว่าราคาที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าควรขายได้ในราคา 600,000 บาท และเป็นความผิดของโจทก์ที่ไม่ดูแลรักษาให้รถยนต์อยู่ในสภาพดีจึงขายได้ราคาต่ำดังกล่าวดังที่จำเลยทั้งสองฎีกาแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของโจทก์ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายแล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นเงิน 280,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 28 พฤศจิกายน 2540) ไปจนกว่าจะชำระเสร็จนั้น จึงเหมาะสมแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
7. ค่าขาดประโยชน์
ค่าขาดประโยชน์ หมายถึง ค่าเสียเวลาที่ผู้ให้เช่าซื้อไม่มีโอกาสได้นำทรัพย์สินที่เช่าซื้อไปใช้ประโยชน์ในระหว่างเอาทรัพย์สินดังกล่าวไปให้ผู้เช่าซื้อได้ใช้
เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้วไม่ว่าชัดแจ้งหรือโดยปริยาย ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิเรียกค่าขาดประโยชน์นี้ได้ตามมาตรา 391 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8331/2551 ตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำมาสืบไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดที่แสดงให้เห็นว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแก่จำเลยที่ 1 แล้วเมื่อฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแก่จำเลยที่ 1 ก่อนที่โจทก์จะยึดรถขุดคืนสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงยังไม่เลิกกัน แต่เมื่อต่อมาวันที่ 21 พฤษภาคม 2541 โจทก์ได้ยึดรถขุดคืน โดยจำเลยที่ 1 มิได้โต้แย้ง พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างสมัครใจที่จะเลิกสัญญากันโดยปริยายในวันดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดเฉพาะค่าขาดประโยชน์จากการใช้ทรัพย์ของโจทก์เท่านั้นส่วนค่าเสียหายอื่นนั้นโจทก์ไม่อาจเรียกร้องจากจำเลยที่ 1 ได้ เพราะกรณีนี้มิใช่เป็นการเลิกสัญญาต่อกันโดยเหตุที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญา เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันวันที่ 21 พฤษภาคม 2541 และจำเลยที่ 1 ใช้ประโยชน์ในรถขุดคันพิพาทโดยไม่ได้ให้ค่าตอบแทนแก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 2540 ถึงวันที่โจทก์ยึดรถขุดคืนมาได้ดังกล่าว ย่อมทำให้โจทก์เสียหายเนื่องจากไม่ได้ใช้รถขุดคันดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงต้องชดใช้ค่าขาดประโยชน์จากการใช้ทรัพย์ให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคสาม และที่โจทก์ขอให้ชดใช้ค่าขาดประโยชน์เดือนละ 30,000 บาท เป็นเวลา 15 เดือน รวมเป็นเงิน 450,000 บาท นั้น เห็นว่า เป็นจำนวนที่เหมาะสมแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3807/2549 โจทก์ฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถที่เช่าซื้อหลังจากสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายบัญญัติอายุความในกรณีนี้ไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันวันที่ 30 พฤษภาคม 2541 โจทก์ยื่นฟ้องวันที่ 10 กันยายน 2544 ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
อายุความ 6 เดือน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 563 นั้น เป็นเรื่องเช่าทรัพย์ จะเอามาใช้กับสิทธิเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถที่เช่าซื้อไม่ได้
สรุป
เมื่อผู้เช่าซื้อเลิกสัญญาแล้ว สัญญาเช่าซื้อย่อมเลิกกันไปในอนาคต ค่าเช่าซื้องวดที่เหลืออยู่ย่อมไม่ต้องจ่าย และหากผู้เช่าซื้อไม่ได้ค้างค่างวดและไม่ผิดสัญญาเลย ผู้ให้เช่าซื้อก็ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้ผู้เช่าซื้อรับผิดในค่าเสียหายได้แต่อย่างใด
แต่หากผู้เช่าซื้อผิดสัญญา ใช้ทรัพย์สินอย่างไม่ระมัดระวังจนทรัพย์สินเสียหาย หรือค้างชำระค่าเช่าซื้องวดใดงวดหนึ่ง ผู้ประกอบธุรกิจซึ่งเป็นผู้ให้เช่าซื้อก็อาจฟ้องให้รับผิดได้ และหากสัญญาระบุให้ผู้ให้เช่าซื้อเรียกค่าขาดราคาหรือค่าขาดประโยชน์ได้ ผู้เช่าซื้อที่ใช้สิทธิเลิกสัญญาไปแล้วก็อาจต้องรับผิดชดใช้เงินดังกล่าวให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อด้วย
ขอบคุณครับ
พุทธพจน์ นนตรี (ทนายความ)
น.บ. (ธรรมศาสตร์)
เนติบัณฑิตไทย
094-550-0835