6 จำนวนผู้เข้าชม |
สัญญาเป็นเอกสารทางกฎหมายที่มีผลผูกพันคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย หากฝ่ายใดไม่ทำตามที่ตกลงกัน อีกฝ่ายย่อมมีสิทธิ “บอกเลิกสัญญา” ได้ แต่ปัญหาคือหลายคนมักเข้าใจว่าเพียงพูดปากเปล่าหรือหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาก็ถือว่าเลิกสัญญาแล้ว ความเข้าใจนี้อาจทำให้เสียสิทธิ และกลายเป็นฝ่ายผิดสัญญาเองโดยไม่รู้ตัว
1. หลักกฎหมายว่าด้วยการเลิกสัญญา
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดว่า
"มาตรา 386 ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเลิกสัญญาโดยข้อสัญญาหรือโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย การเลิกสัญญาเช่นนั้นย่อมทำด้วยแสดงเจตนาแก่อีกฝ่ายหนึ่ง
การแสดงเจตนาดังกล่าวมาในวรรคก่อนนั้น ท่านว่าหาอาจจะถอนได้ไม่"
"มาตรา 387 ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ อีกฝ่ายหนึ่งจะกำหนดระยะเวลาพอสมควร แล้วบอกกล่าวให้ฝ่ายนั้นชำระหนี้ภายในระยะเวลานั้นก็ได้ ถ้าและฝ่ายนั้นไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดให้ไซร้ อีกฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาเสียก็ได้"
"มาตรา 388 ถ้าวัตถุที่ประสงค์แห่งสัญญานั้น ว่าโดยสภาพหรือโดยเจตนาที่คู่สัญญาได้แสดงไว้ จะเป็นผลสำเร็จได้ก็แต่ด้วยการชำระหนี้ ณ เวลามีกำหนดก็ดี หรือภายในระยะเวลาอันใดอันหนึ่งซึ่งกำหนดไว้ก็ดี และกำหนดเวลาหรือระยะเวลานั้นได้ล่วงพ้นไปโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมิได้ชำระหนี้ไซร้ ท่านว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญานั้นเสียก็ได้ มิพักต้องบอกกล่าวดังว่าไว้ในมาตราก่อนนั้นเลย"
หมายความว่า
1) การเลิกสัญญาสามารถทำได้ด้วยการ "แสดงเจตนา" ให้อีกฝ่ายรู้ แต่การแสดงเจตนาเลิกสัญญานั้นต้องเป็นไปตามวิธีการที่ระบุไว้ในสัญญาที่ทำกันไว้ ถ้าสัญญาไม่ได้ระบุไว้ ก็ต้องเปิดกฎหมายดูอีกทีว่า ได้กำหนดวิธีการเลิกสัญญาไว้อย่างไร
2) ถ้าสัญญาและกฎหมายไม่ได้เขียนกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามสัญญา อีกฝ่ายอาจเลิกสัญญาได้ด้วยการแจ้งอีกฝ่ายให้ปฏิบัติตามสัญญาพร้อมกำหนดเวลาพอสมควรไว้ให้ทำตาม หากอีกฝ่ายยังฝ่าฝืนไม่ทำตาม อีกฝ่ายแสดงเจตนาเลิกสัญญากับฝ่ายนั้นได้เลย
3) ถ้าเรื่องที่ตกลงกันให้ทำเป็นเรื่องที่มีเวลาเป็นเงื่อนไขสำคัญ หากพ้นเวลาตามที่กำหนดกันไว้แล้วอีกฝ่ายไม่ได้ปฏิบัติตามสัญญา อีกฝ่ายไม่ต้องแจ้งหรือบอกกล่าวขอเลิกสัญญากับฝ่ายที่ไม่ทำตามสัญญาได้เลย แต่ให้ถือว่าสัญญาเป็นอันเลิกกันทันที
เช่น ขอให้ส่งชุดแต่งงานมาวันที่ 10 เพราะวันแต่งคือวันที่ 11 แต่ร้านส่งมาวันที่ 12 ดังนี้ ชุดแต่งงานก็คงไม่ได้ใช้กันแล้ว จึงถือว่า วัตถุประสงค์ตามสัญญาเป็นอันพ้นวิสัย ถือว่าสัญญาที่ทำกับร้านเป็นอันเลิกกันโดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องแจ้งร้านว่าขอเลิกสัญญากันเลย
2. แนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง
ฎีกาที่ 1204/2541 สัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยไม่มีข้อความตอนใดที่ให้สิทธิแก่จำเลยในอันที่จะบอกเลิกสัญญาต่อโจทก์ กรณีจึงไม่มีเหตุตามกฎหมายที่จำเลยจะบอกเลิกสัญญา การที่จำเลยเป็นผู้บอกเลิกสัญญาแต่ฝ่ายเดียวจึงไม่ชอบ
ฎีกาที่ 4900/2559 เมื่อจำเลย (ผู้ให้เช่า) เลิกสัญญาเช่าโดยไม่มีเหตุอันสมควร ถือว่าการเลิกสัญญานั้นไม่ชอบ แต่หากผู้เช่าก็ฟ้องคดีเพื่อเลิกสัญญาด้วยเช่นกัน ถือว่าคู่สัญญาได้สมัครใจเลิกสัญญาโดยปริยาย ทำให้ต้องกลับสู่ฐานะเดิมตามมาตรา 391 ป.พ.พ. โดยผู้เช่ามีสิทธิเรียกร้องค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงตึกแถวคืนจากจำเลย เพราะเป็นการงานที่ผู้เช่าทำและจำเลยได้ครอบครองใช้ประโยชน์
3. ข้อแนะนำ
ตรวจสอบสัญญาให้ละเอียดก่อน – หลายสัญญามีข้อกำหนดโดยเฉพาะเรื่องวิธีการเลิกสัญญา หากไม่ทำตามเงื่อนไข เราอาจกลายเป็นฝ่ายผิดสัญญาเองได้
ทำหนังสือบอกเลิกสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร (โนติส) – เพื่อให้มีหลักฐานกรณีจำเป็นต้องขึ้นศาล
เก็บหลักฐานการผิดสัญญาของอีกฝ่ายไว้ – เช่น สัญญาที่ทำกันไว้ ข้อความที่คุยระหว่างกัน ภาพแสดงส่วนที่ผู้รับเหมาสร้างอาคารไม่เป็นไปตามแบบ หรือหลักฐานแสดงการไม่ชำระหนี้ เป็นต้น
ปรึกษาทนายความ – บางกรณีเป็นเรื่องซับซ้อนเพราะเป็นเรื่องที่มีมูลค่ามากและเกี่ยวพันกันหลายฝ่าย การเลิกสัญญาจึงอาจซับซ้อนตามไปด้วย การปรึกษาทนายความจึงเป็นเรื่องที่แนะนำ
4. สรุป
การเลิกสัญญาไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ตามอำเภอใจ หากไม่ปฏิบัติตามสัญญาหรือตามกฎหมาย เราอาจกลายเป็นฝ่ายเสียผิดสัญญาเสียเอง การปรึกษาทนายก่อนเลิกสัญญาจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่าเราได้ดำเนินการอย่างถูกต้อง
หากท่านกำลังประสบปัญหาอยู่ เรายินดีให้คำปรึกษาและดำเนินการแทนท่านครับ ติดต่อเราได้ตามข้อมูลด้านล่างสุดของหน้าครับ
ขอบคุณครับ
พุทธพจน์ นนตรี
ทนายความ
สำนักงานกฎหมายณัฐพจน์ ลีกัล เซอร์วิส ให้บริการว่าความในเขตกรุงเทพและปริมณฑล รวมทั้งให้คำปรึกษาทางกฎหมายแก่ผู้มีอรรถคดี