148 จำนวนผู้เข้าชม |
ผู้เขียน : พุทธพจน์ นนตรี (ทนายความ)
เขียนเมื่อ : 14 พฤศจิกายน 2568
094-550-0835
1) “ส่วย” หรือ “สินบน” ไม่มีคำนิยามทางกฎหมายอย่างชัดเจน แต่เป็นที่เข้าใจกันว่า ส่วยหรือสินบน หมายถึง “เงิน” หรือ “ประโยชน์อื่น” ใดที่เจ้าพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับจากผู้อื่นโดยมิชอบเพื่อแลกกับการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายขณะดำรงตำแหน่ง เช่น เรียกเงินจากเจ้าของเว็บพนันเพื่อแลกกับการไม่จับกุมเจ้าของเว็บพนัน เป็นต้น
2) การจ่ายส่วยหรือสินบนให้แก่ตำรวจเพื่อจูงใจให้ตำรวจไม่จับกุมตนเองหรือผู้อื่นเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 หากผู้จ่ายส่วยหรือสินบนจ่ายส่วยหรือสินบนโดยมีเจตนาเพื่อไม่ให้ตำรวจจับกุมตนเองหรือผู้อื่น ผู้จ่ายส่วยย่อมมีความผิดตามกฎหมาย (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15055/2558)
แต่หากจ่ายส่วยตามคำสั่งของผู้อื่น และขณะที่จ่ายส่วยนั้น “ไม่รู้หรือควรรู้” ว่า เป็นส่วยหรือสินบน ผู้จ่ายเงินตามคำสั่งของผู้อื่นก็ไม่มีความผิด แต่การจะดูว่า "รู้หรือไม่รู้" ว่าเป็นส่วยต้องอาศัย "กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา"
3) หากตำรวจ “รับส่วยหรือสินบน” แลกกับการไม่จับกุมผู้กระทำผิด ตำรวจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 100,000 – 400,000 บาท หรือประหารชีวิต (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2165/2561)
4) นอกจากการจ่ายส่วยและรับส่วยจะเป็นความผิดตามกฎหมายแล้ว ผู้ที่ “เปิดบัญชีม้า” โดย “รู้หรือควรรู้” ว่า ผู้ที่สั่งการหรือว่าจ้างให้เปิดบัญชีจะนำบัญชีนั้นไปใช้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางออนไลน์ก็ย่อมมีความผิดตาม พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี มาตรา 9 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เช่น ก. รับจ้าง ข. เปิดบัญชี หรือยินยอมเปิดบัญชีให้ ข. เอาไปใช้โดยรู้หรือควรรู้ว่า ข. จะเอาบัญชีที่ตนเปิดไปใช้รับเงินจากการฉ้อโกงทางออนไลน์ ดังนี้ ก. ย่อมมีความผิดฐานเปิดบัญชีม้า
5) นอกจากจะเป็นความผิดตาม พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี แล้ว ผู้เปิดบัญชีม้าที่รู้หรือควรรู้ว่า บัญชีที่เปิดให้นั้นจะถูกนำไปใช้กระทำอาชญากรรมทางออนไลน์ หรือทำหน้าที่เปิดบัญชีม้าเพื่อโอนหรือรับโอนเงินที่มาจากผู้เสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเสียเอง ผู้นั้นย่อมมีความผิดตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน มาตรา 5 (1) ประกอบมาตรา 60 อีกกรรมหนึ่งแยกต่างหากจากการเปิดบัญชีม้า และต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (ดูคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3957/2566 ประกอบ)
6) นอกจากจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และ พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี แล้ว ยังอาจเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 อีกด้วยหากสมคบกันรวม 3 คนกระทำความผิดร้ายแรงต่อเนื่องระหว่างประเทศเพื่อให้ได้มาซึ่งเงิน ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อย่างอื่น
7) หากขณะที่เปิดบัญชีม้านั้น “ไม่รู้ว่าหรือควรรู้” ว่า คนที่มาขอให้เปิดบัญชีนั้นจะเอาบัญชีไปใช้เพื่อกระทำความผิด ผู้เปิดบัญชีย่อมไม่มีความผิดตาม พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และไม่มีความผิดฐานฟอกเงิน ทนายความในคดีเกี่ยวกับบัญชีม้าจึงมักแนะนำให้ลูกความให้การหรือเบิกความไปว่า “ไม่รู้” ว่าบัญชีที่ตัวเองเปิดนั้นเป็นบัญชีที่จะนำไปใช้กระทำความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2165/2561 จำเลยเป็นเจ้าพนักงานรับเงิน 3,000,000 บาท จาก ป. ในตำแหน่งโดยมิชอบด้วยหน้าที่ เพื่อช่วยเหลือให้ ป. ไม่ต้องถูกย้ายออกจากจังหวัดขอนแก่น การกระทำของจำเลยจึงครบองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 149 แม้ภายหลังจำเลยจะไม่กระทำอย่างใดในตำแหน่งเพื่อช่วยเหลือ ป. หรือไม่ก็ตาม ก็ถือว่าเป็นความผิดสำเร็จตั้งแต่ขณะที่จำเลยรับเงินดังกล่าวแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15055/2558 จำเลยมาพบพันตำรวจตรี ธ. แจ้งว่าเป็นน้องชาย ป. และเสนอจะให้เงิน 400,000 บาท ถ้าปล่อยตัว ป. พันตำรวจตรี ธ. รับปากจะช่วยเหลือ จำเลยนัดจะนำเงินมาให้ในวันรุ่งขึ้นเวลา 9 นาฬิกา หลังจากนั้นพันตำรวจตรี ธ. ได้รายงานผู้บังคับบัญชาและไปขอลงรายงานประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองศรีสะเกษเพื่อวางแผนจับกุมตามสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี ซึ่งร้อยตำรวจตรี ม. เป็นผู้บันทึก ต่อมาวันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ 10 นาฬิกา จำเลยถือถุงกระดาษสีน้ำตาลมาหาพันตำรวจตรี ธ. ที่ห้องสืบสวนกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ จำเลยแจ้งว่าเงินครบ แล้วล้วงเอาธนบัตรจำนวน 400,000 บาท ออกมาจากถุง พันตำรวจตรี ธ. จึงจับกุมจำเลยพร้อมยึดธนบัตรจำนวนดังกล่าวเป็นของกลาง การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานให้และขอให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงาน เพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ตาม ป.อ. มาตรา 144 และเงินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิด จึงต้องริบตาม ป.อ. มาตรา 33 (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3957/2566 คดีนี้นอกจากโจทก์มีพันตำรวจเอกสราวุธและพันตำรวจตรีวัฒนา เป็นพยานเบิกความได้ความว่า จากการสืบสวนได้ความว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นเจ้าของบัญชีธนาคารซึ่งเป็นบัญชีม้าแถว 2 แล้วรับโอนเงินจากบัญชีม้าแถว 1 ซึ่งเป็นบัญชีธนาคารที่ได้รับเงินหรือรับโอนเงินจากผู้เสียหายโดยตรงแล้ว โจทก์ยังมีร้อยตำรวจเอกกิติศักดิ์พนักงานสอบสวนมาเบิกความประกอบคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งแม้จำเลยที่ 3 ได้ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน โดยเนื้อหาในคำให้การของจำเลยที่ 3 ดังกล่าวตรงกับคำเบิกความของจำเลยที่ 3 ต่อศาลว่า จำเลยที่ 3 รับจ้างจากนายจิรวัตรหรือเก่ง และนายทอมมี่ เปิดบัญชีธนาคาร 2 บัญชี ได้รับค่าจ้างบัญชีละ 3,000 บาท แล้วจำเลยที่ 3 มอบบัญชีธนาคารพร้อมบัตรเอทีเอ็มและซิมการ์ดโทรศัพท์เพื่อสมัครอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้งให้แก่นายจิรวัตรและนายทอมมี่ไปโดยจำเลยที่ 3 ทราบจากบุคคลทั้งสองว่านายทอมมี่จะนำไปใช้ในการเล่นหุ้น แต่จำเลยที่ 3 ให้การไว้ในชั้นสอบสวนในคดีที่นางรัตนากับพวกเป็นผู้ต้องหา ตามคำให้การในชั้นสอบสวนลงวันที่ 1 ธันวาคม 2560 ซึ่งให้การไว้ก่อนคดีนี้เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2562 ว่า จำเลยที่ 3 เปิดบัญชีธนาคารถึง 5 บัญชี ให้นายจิรวัตรและนายทอมมี่เพื่อใช้ในการหลอกลวงคนไทยด้วยวิธีคอลเซ็นเตอร์ โดยได้รับค่าตอบแทนเปิดบัญชีธนาคารบัญชีละ 3,500 บาท ส่วนจำเลยที่ 4 ให้การปฏิเสธในชั้นสอบสวนและเบิกความต่อศาลตรงกันว่า จำเลยที่ 4 ขณะนั้นเรียนที่วิทยาลัยเทคโนโลยี ก. ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ชั้นปีที่ 1 สาขาบริหารธุรกิจ นางสาวอุษณีย์ เพื่อนนักศึกษาเรียนอยู่ที่วิทยาลัยเดียวกันชักชวนให้เปิดบัญชีธนาคารโดยจะให้ค่าตอบแทนบัญชีละ 2,500 บาท จำเลยที่ 4 อยากได้เงินใช้จึงยอมเปิดบัญชีธนาคาร 2 บัญชี และทำบัตรเอทีเอ็มและซื้อซิมการ์ดเพื่อสมัครอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้งให้นางสาวอุษณีย์ไปโดยไม่สนใจว่าจะนำไปใช้อย่างไรเพื่อการใด พฤติการณ์เช่นนี้เชื่อว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 รู้อยู่ว่าบัญชีธนาคารของตนดังกล่าวจะใช้เป็นแหล่งรับโอนเงินเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดที่มาของเงินที่เกี่ยวกับการกระทำผิดนั้น และเมื่อมีเงินของผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงได้ถูกยักย้ายนำมาเข้าบัญชีซึ่งปรากฏชื่อจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นเจ้าของบัญชี ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 รับโอนหรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นก่อนหรือหลังการกระทำความผิด มิให้ต้องรับโทษในความผิดมูลฐาน อันเป็นการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 5 (1), 60 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องตามกันมาให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 และที่ 4 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 กระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ทั้งมิใช่เป็นผู้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินหรือเงินของผู้เสียหาย จำเลยที่ 3 และที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิดคืนหรือชดใช้เงินแก่ผู้เสียหาย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
ขอบคุณครับ
พุทธพจน์ นนตรี (ทนายความ)
น.บ. (ธรรมศาสตร์)
เนติบัณฑิตไทย
094-550-0835